อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันคริสต์มาสแล้ว “พระเจ้าอยู่กับเรา”

ความใกล้ชิดในหัวใจของคริสต์มาส: การเป็น “เพื่อนบ้าน” เพื่อสร้างสายสัมพันธ์ชุมชนอีกครั้ง

วันหยุดนี้ไม่ใช่แค่เพียงการประดับตกแต่งและการรวมตัวของครอบครัวเท่านั้น แต่ยังเป็นการเชิญชวนให้เราไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งถึงความสัมพันธ์ของเรากับผู้อื่น เป็นการแสดงความใกล้ชิดและความสามัคคีอย่างแท้จริง เป็นช่วงเวลาที่เราจะก้าวออกจากเขตปลอดภัย บ้าน และกิจวัตรประจำวันของเรา และเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ต้องการเรา การเฉลิมฉลองการที่พระเจ้ากลายเป็นมนุษย์นี้เรียกร้องให้เราไม่เพียงแต่ยอมรับความรักของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังต้องเป็นผู้ถ่ายทอดความรักนั้นอย่างแข็งขันในชุมชนของเราด้วย

ในโลกที่เต็มไปด้วยความเป็นปัจเจกและความแตกแยกทางสังคม คำเชิญชวนให้มีความใกล้ชิดกลายมาเป็นวิธีการรักษาที่ทรงพลังในการรักษาบาดแผลในโครงสร้างของชุมชน

เรื่องราวการประสูติของพระคริสต์เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ใกล้ชิดกับมนุษยชาติ พระองค์ทรงเลือกที่จะประสูติในรางหญ้าที่ต่ำต้อย พระองค์ทรงแสดงความรักที่ไม่มีเงื่อนไขและสากล ซึ่งทุกคนเข้าถึงได้ไม่ว่าจะมีฐานะทางสังคมอย่างไร เหล่าคนเลี้ยงแกะซึ่งถูกละเลยในสมัยของพวกเขาเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ได้รับข่าวการประสูติที่ไม่ธรรมดาครั้งนี้ การกระทำนี้ตอกย้ำความจริงพื้นฐานประการหนึ่ง นั่นคือ พระเจ้าทรงใกล้ชิดกับผู้ที่ต่ำต้อยที่สุด ผู้ที่ถูกกีดกัน และผู้ที่สังคมลืมเลือน

ข้อความนี้ยังคงฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้ ในช่วงเวลานี้ที่ความไม่เท่าเทียมกันกำลังเพิ่มมากขึ้น ความเหงาได้กลายเป็นโรคระบาดเงียบๆ เราจึงจำเป็นต้องตอบสนองต่อเสียงเรียกร้องของความใกล้ชิด คริสต์มาสไม่ควรจำกัดอยู่แค่เพียงการแสดงน้ำใจอันโดดเดี่ยว แต่ควรเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ยั่งยืนของการมีตัวตนและความห่วงใยต่อผู้อื่น

การเป็น “เพื่อนบ้าน” ในความหมายตามพระคัมภีร์ หมายถึงมากกว่าการแสดงความเมตตากรุณาอย่างเฉยเมย เป็นการอุทิศตนเพื่อสนองความต้องการของผู้อื่น เป็นการเอาชนะตนเองเพื่อเข้ามาอยู่ในชีวิตของผู้อื่น พระเยซูทรงแสดงให้เห็นถึงความใกล้ชิดนี้ในนิทานเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดี ซึ่งสอนเราว่าความรักที่แท้จริงต่อเพื่อนบ้านนั้นอยู่เหนือขอบเขตทางวัฒนธรรม ศาสนา และสังคม ความใกล้ชิดเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อไปหาผู้อื่น โดยทำตามแบบอย่างของพระเยซูผู้เสด็จลงมาจากสวรรค์สู่โลกและทรงแบ่งปันความหิวโหย ความสุข และความเศร้าโศกของสภาพมนุษย์กับเรา

พลวัตของการ “เป็นเพื่อนบ้าน” นี้เริ่มต้นด้วยขั้นตอนที่เป็นรูปธรรม นั่นคือ การละทิ้งบ้านเรือน ทิ้งนิสัย และกล้าที่จะออกไปพบปะกับผู้ที่กำลังทุกข์ยาก ผู้ที่รู้สึกโดดเดี่ยว และเราทราบดีว่าความใกล้ชิดนี้สามารถเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ เช่น การไปเยี่ยมผู้สูงอายุที่โดดเดี่ยว การต้อนรับเพื่อนบ้านที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือแม้แต่การให้ความอบอุ่นแก่ผู้ที่กำลังเผชิญความยากลำบาก ท่าทางที่เรียบง่ายแต่มีความหมายเหล่านี้แสดงถึงจิตวิญญาณแห่งคริสต์มาสและซ่อมแซมรอยร้าวในโครงสร้างของชุมชน

การแบ่งปันเป็นมิติที่สำคัญอย่างหนึ่งของความใกล้ชิด การแบ่งปันไม่ได้หมายความถึงการให้สิ่งของเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทำให้ตนเองพร้อมเสมอ สละเวลาและรับฟังผู้อื่นด้วย ในชุมชนเขตและตำบลของเรา การแบ่งปันสามารถแปลงเป็นความคิดริเริ่มที่เป็นรูปธรรม เช่น การรับประทานอาหารร่วมกัน การบริจาคเงินให้กับครอบครัวที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือช่วงเวลาแห่งการแลกเปลี่ยนและสวดภาวนากับผู้ที่รู้สึกถูกกีดกัน

การแบ่งปันสร้างพื้นที่ที่อุปสรรคต่างๆ หลุดพ้นและความเป็นพี่น้องที่แท้จริงเกิดขึ้น ช่วยให้เราสร้างสายสัมพันธ์ที่แท้จริงบนพื้นฐานของการยอมรับศักดิ์ศรีของแต่ละคน ในช่วงคริสต์มาส การแบ่งปันนี้จะกลายเป็นหนทางที่จะทำให้เห็นความใกล้ชิดของพระเจ้าในหมู่พวกเรา

สังคมยุคปัจจุบันของเราเต็มไปด้วยความขัดแย้งมากมาย เช่น ความโดดเดี่ยวของผู้สูงอายุ การกีดกันผู้อพยพ การกีดกันผู้คนในสถานการณ์ที่ไม่มั่นคง และอื่นๆ อีกมากมาย “ช่องว่างทางสังคม” เหล่านี้คือพื้นที่ที่ความเหงาและการถูกละทิ้งเข้ามาครอบงำ ล้วนเป็นความท้าทายสำหรับชุมชนของเรา พื้นที่เหล่านี้คือพื้นที่ที่เราถูกเรียกร้องให้เป็นพยานและกระตุ้น งานแห่งความเมตตา.

การอยู่ในช่องว่างเหล่านี้คือการตอบสนองต่อการเรียกของพระคริสต์ในการออกไปสู่พื้นที่รอบนอก เป็นการก้าวออกจากเขตปลอดภัยของเราเพื่อพบปะผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งการกีดกันเหล่านี้ ในสถานที่เหล่านี้เองที่ความหมายที่แท้จริงของความใกล้ชิดตกอยู่ในความเสี่ยง คริสต์มาสเชิญชวนให้เราทำให้ช่องว่างเหล่านี้เป็นพื้นที่แห่งการพบปะและการคืนดี เพื่อสานสายสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้นลงจากความเฉยเมยและความไม่ไว้วางใจอีกครั้ง

หากต้องการให้ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกลายมาเป็นวิถีชีวิตและไม่ใช่ข้อยกเว้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างชุมชนบนพื้นฐานของความห่วงใยและการมีตัวตน ในเขตวัดและละแวกบ้านของเรา ในชุมชนของเรา... ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนที่ทุกคนรู้สึกได้รับการต้อนรับและมีคุณค่า ซึ่งต้องใช้ความพยายามร่วมกัน แต่ยังต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วย นั่นคือการเรียนรู้ที่จะมองผู้อื่นไม่ใช่คนแปลกหน้า แต่เป็นพี่น้อง

ความเอาใจใส่ในแต่ละวันสามารถแสดงออกมาผ่านท่าทางง่ายๆ เช่น การถามว่าเพื่อนบ้านเป็นอย่างไรบ้าง ยิ้มให้กับคนที่พบเจอบนท้องถนน หรือทำกิจกรรมร่วมกับชุมชน ท่าทางเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ที่ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวันช่วยสร้างวัฒนธรรมแห่งความใกล้ชิดที่แท้จริง

คริสต์มาสยังเป็นโอกาสที่จะค้นพบความสุขในการให้ตนเองอีกครั้ง โดยการกลายเป็นมนุษย์ พระคริสต์แสดงให้เราเห็นว่าความรักที่แท้จริงเป็นของขวัญที่ไม่มีเงื่อนไข ของขวัญนี้ไม่ได้วัดกันที่ปริมาณ แต่วัดกันที่คุณภาพ มันคือการให้ตนเอง เวลา ความสนใจ และการรับฟัง

ในโลกที่มักมุ่งเน้นที่การแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ของขวัญแห่งตัวตนนี้อาจดูเหมือนเป็นสิ่งที่ “ขัดต่อวัฒนธรรม” แต่พระองค์ต่างหากที่ทรงให้ความหมายที่ลึกซึ้งกับชีวิตของเรา และนำเราเข้าใกล้อาชีพคริสเตียนมากขึ้น ในช่วงคริสต์มาส ของขวัญแห่งตัวตนนี้จะกลายเป็นพยานที่ยังมีชีวิตอยู่ถึงความรักของพระคริสต์ ซึ่งเป็นวิธีการที่ชัดเจนในการให้แสงสว่างของพระองค์ส่องประกายในความมืด

สุขสันต์วันคริสต์มาสแห่งความใกล้ชิดและความเมตตาต่อทุกคน

แหล่ง

ภาพ

  • โรดริเก บิดูบูลา
นอกจากนี้คุณยังอาจต้องการ